3.2 ล้านล้านบาท คือเม็ดเงินที่ไหลเวียนอยู่ในธุรกิจออนไลน์ในประเทศไทย และยังมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่รวมไปถึงการปรับตัวของคนรุ่นเก่า จริงๆ แล้วผู้ซื้อของเราไม่ได้ “หาย” ไปเสียทีเดียว แต่ “ย้ายที่” ไปกันมากกว่า
ถึงจำนวนเงินข้างต้นจะดูเยอะ แต่ตลาดบนโลกออนไลน์ก็ยังมีที่ว่างอีกมากพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าและบริการในประเทศหรือต่างประเทศ
แต่จะเริ่มยังไง? แล้วทำยังไงให้ประสบความสำเร็จ บทความนี้มีคำตอบครับ
ธุรกิจออนไลน์ ทำอะไรได้บ้าง และทำยังไงให้เวิร์ค
การก้าวเข้าสู่ธุรกิจในโลกออนไลน์สามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งโดยพื้นฐานแทบไม่ต่างกับการซื้อขายหรือตกลงทำสัญญากันในโลกแห่งความเป็นจริงเลย ต่างกันแค่เราทำสิ่งต่างๆ ผ่านอินเทอร์เน็ตเท่านั้น และนี่คือตัวอย่างของธุรกิจสุดฮิตในโลกออนไลน์ครับ
1. เปิดร้านขายของออนไลน์
การซื้อขายคือปัจจัยหลักสำหรับการส่งผ่านเงินตรา แน่นอนว่าโลกออนไลน์ก็หนีไม่พ้นเรื่องนี้ แถมด้วยความกว้างไกลของอินเทอร์เน็ต สินค้าที่ซื้อขายกันจึงมีความหลากหลายกว่าด้วย และไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้ดี มาดูกันว่าจะเริ่มได้ยังไง และทำยังไง ถึง-จะ-เวิร์ค
-
ศึกษาว่าขายอะไร ยังไง
ตลาดออนไลน์นั้นกว้าง แต่ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะสามารถขายได้อย่างมีคุณภาพ สิ่งที่เราจำเป็นต้องทำก่อนเลยคือการศึกษาตลาด ศึกษาคู่แข่ง มองหาว่าอะไรที่เป็นช่องว่างในตลาด หรือของที่ตลาดต้องการแต่คนยังไม่มีขาย จะทำให้ของๆ เรานั้นสามารถขายได้ง่ายขึ้น ได้ราคามากขึ้น
หากเป็นสิ่งที่เราชอบ หรือสนใจ จะยิ่งดีขึ้นไปอีกครับ เพราะเราจะรู้จักและเข้าใจกลุ่มเป้าหมายโดยธรรมชาติ อีกทั้งมีข้อมูลและอินไซต์ดีๆ ที่คนภายนอกมักไม่ค่อยรู้ ทำให้เราสามารถสร้าง หรือดัดแปลงสินค้าของเราให้ถูกใจลูกค้าได้มากขึ้น
-
ทำแบรนด์ดิ้ง
สินค้าในท้องตลาดมีอยู่จำนวนมาก แต่ว่าคนส่วนใหญ่นั้นก็เลือกซื้อแต่สินค้าที่เขารู้จัก การจะสร้างอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาเราต้องเน้นให้ลูกค้าจำภาพของเราในมุมนั้นๆ ให้ได้เสียก่อน
การทำแบรนด์ดิ้งสินค้าที่อย่างแรกเลยคือ ชื่อแบรนด์ต้องจำง่าย ออกเสียงง่าย มีความสัมพันธ์กับตัวสินค้า และมีความโดดเด่นมากพอที่จะแตกต่างจากท้องตลาดทั่วไป เพราะนอกจากตัวสินค้าแล้ว ชื่อแบรนด์นี่ล่ะคือ First Impression
หลังจากการสร้างแบรนด์ให้จำง่าย สิ่งต่อมาคือการสร้างความน่าเชื่อถือ เพราะในโลกออนไลน์นั้น เราไม่ได้เจอหน้ากันตรงๆ หลายคนใช้ประโยชน์จากจุดนี้ในการหลอกลวงคนอื่น ดังนั้นหากเรามีชื่อเสียงที่ดีจากการรักษาคุณภาพได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย หรือ ได้รับการรับรองคุณภาพสินค้าหรือบริการ ในบางครั้งลูกค้านี่ล่ะครับ ที่จะเป็นผู้โปรโมตเราโดยที่เราไม่ต้องโฆษณาอะไรเลย
-
คำนวณต้นทุน และวางแผนการทำงาน
แม้ว่าการขายของออนไลน์จะต้นทุนไม่สูงมาก (ยกเว้นกรณีสินค้าที่เน้นตลาด hi-end) แต่เราก็ยังต้องมีการจัดการบัญชี คำนวณต้นทุน และวางแผนการทำงานอย่างเป็นระบบ เพื่อที่ทำให้เรามั่นใจว่า ยังไงเราก็ไม่ขาดทุน
สิ่งที่ต้องคำนวณหลักๆ เมื่อทำธุรกิจออนไลน์คือ
- ค่าสินค้า
- ค่าจัดส่ง ค่าแพ็คของ
- ค่าโฆษณา ทั้งจากการลงโฆษณาและจ้าง influencer
- ค่าจ้างงาน (หากมีคนช่วยเหลือ)
หากเราคำนวณทุกอย่างไว้ดีพอ สิ่งต่อมาที่ควรนึกถึงคือการวางแผนการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการผลิต การส่ง การเก็บเงิน ไปจนถึงการโฆษณาที่มีประสิทธิภาพ หากทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี ก็จะสามารถลดเวลาและเงินตราที่เสียไปแบบเปล่าประโยชน์ ได้มากพอสมควรเลยทีเดียว
-
สร้าง Facebook Page หรือเว็บไซต์ของแบรนด์
สำหรับการทำธุรกิจออนไลน์แล้ว ช่องทางการติดต่อทางอินเทอร์เน็ตถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย ทั้ง Facebook Page และ เว็บไซต์ของแบรนด์ นอกจากมันจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหาเราเจอได้ง่ายขึ้น สิ่งเหล่านี้ยังเป็นช่องทางการโปรโมตสินค้าและบริหารใหม่ๆได้ดีอีกด้วย
ในเริ่มแรกอาจจะเป็นเพจเฟซบุ๊คง่ายๆ ที่มีการอัพเดทตัวสินค้า รวมไปถึงคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องไปก่อนก็ได้ แต่แนะนำว่าระยะยาวควรทำเป็นเว็บไซต์ เพราะว่าท้ายที่สุดเว็บไซต์ก็เป็นของเราโดยตรง อีกทั้งยังสามารถใช้ในการทำการตลาดอื่นๆ ได้ง่าย เช่น SEO, Adwords, Mail Marketing และช่องทางอื่นๆ อีกมากมาย
ส่วนตัวคอนเทนต์หรือเนื้อหาที่อยู่บนเว็บไซต์ควรเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้อง มีประโยชน์ต่อลูกค้า และมีหลักฐานยืนยันแน่ชัด การสร้างเนื้อหาที่มีประโยชน์จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ของเรา
-
โปรโมตผ่านโซเชียลมีเดีย
การ “สร้าง” และการ “โปรโมต” ต่างกันนะครับ ไม่ว่าเราจะสร้างเว็บไซต์หรือเพจที่สวยงามขนาดไหน แต่ถ้าคนไม่เข้ามาแต่แรกมันก็จบ ดังนั้นเมื่อสร้างเพจหรือเว็บไซต์แล้ว เราต้องวางแผนการโปรโมตมันอย่างมีคุณภาพ
คอนเทนต์ที่เขียนบนเว็บไซต์ต้องเป็นคอนเทนต์ที่ดึงดูด และเหมาะสมกับลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับสินค้าของเราทางตรงหรือทางอ้อมก็ได้ เช่น หากเราขายเก้าอี้ เราอาจเขียนเกี่ยวกับการดูแลรักษาเก้าอี้ หรือเขียนเกี่ยวกับการตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ในห้องรับแขก แบบนี้ก็ได้ครับ
ที่สำคัญกว่าในยุคนี้คือการโฆษณาผ่าน Facebook Ad หรือ Google Ad ครับ หรือที่เรียกกันว่าการยิงโฆษณานั่นเอง อย่างน้อยๆ ผู้ที่คิดทำธุรกิจออนไลน์ควรศึกษาเรื่องนี้ระดับหนึ่ง เพื่อที่จะสามารถเล็งกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้า ท่ามกลางคนนับล้านๆ คน ทั้งบน Facebook หรือหน้าค้นหาของ Google
2. เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า
ถ้าเทียบกันแล้ว การเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้านั้นง่ายกว่าการสร้างแบรนด์เองมากพอสมควรเลยครับ เพราะเราไม่ได้สร้างธุรกิจเองตั้งแต่เริ่ม จึงมีความเสี่ยงน้อยกว่า แถมบางครั้งตัวธุรกิจที่รับตัวแทนจำหน่ายยังมีการจัดการสต๊อกเองด้วย
แต่ในความสบายนั้น..ก็ยังมีความยากซ่อนอยู่ มาดูกันครับว่าการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า จริงๆ แล้วต้องทำยังไงบ้าง
-
มีการประสานงานที่ดี
การเป็นตัวแทนจำหน่าย หมายความว่าในบางครั้งเราอาจต้องสั่งของจากสต๊อกของลูกค้า ดังนั้นเราเองก็ต้องรู้ความเคลื่อนไหวของของที่อยู่ในสต๊อกระดับหนึ่ง หากลูกค้าติดต่อมาแล้วมีการจัดสต๊อกว่ามี คือมันต้องมีจริงๆ จะบอกว่าของหมดทีหลังไม่ได้ เพราะเวลานั้นคนเสียเครดิตคือเราเป็นอันดับแรก ไม่ใช่ตัวร้านค้า
-
มีการโปรโมตที่มีคุณภาพ
การเป็นตัวแทนจำหน่ายธรรมดา อาจจะแค่รอลูกค้าแบบไม่คิดอะไรมาก แต่การเป็นตัวแทนจำหน่ายที่ดี จะต้องมีการโปรโมตสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพราะเราอาจไม่ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายแค่เจ้าเดียว และในบางครั้งทางตัวแทนจำหน่ายเองก็จำเป็นที่จะต้องลงโฆษณา หรือ ยิง Ad บนเพจหรือ Google ดังนั้นการมีความรู้พื้นฐานในส่วนนี้ย่อมทำให้คุณก้าวไวกว่าคนอื่นแน่นอนครับ
-
ลูกค้าคือตัวแปรสำคัญ
เนื่องจากตัวแทนจำหน่ายจำต้อง “คุย” กับลูกค้า ดังนั้นการถามตอบข้อสงสัย หรือการใช้คำพูดตอนรับออเดอร์ก็เป็นได้ทั้งการสร้างความประทับใจและความร้าวฉาน โดยเฉพาะลูกค้าบางกลุ่มที่ละเอียดอ่อนกับคำพูดหรือการตอบ แค่การตอบคำถามสองสามคำถามอาจเป็นตัวบ่งชี้เลยว่าเขาจะซื้อหรือไม่ซื้อของๆ คุณ
และอย่าลืมนะครับว่าเรากำลังทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ หากลูกค้าประทับใจเขาอาจจะมีการชมหรือบอกต่อให้คนอื่นฟัง และมาเลือกซื้อสินค้ากับคุณ แต่กลับกัน ถ้าหากเขาไม่พอใจ เขาก็มีสิทธิ์ที่จะบอกต่อเรื่องราวที่เขาไม่ชอบให้คนอื่นรับฟังได้เช่นกัน
3. เป็น Influencer
ภาษาบ้านๆ เลยคือ ผู้ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์ครับ แน่นอนว่ามันไม่ได้เป็นเหมือนมาเฟียหรืออะไรแบบนั้นนะ แต่เป็นบุคคลที่มีผู้ติดตาม และมีพลังโน้มน้าวใจผู้คนบนโลกออนไลน์ ให้มาใช้สินค้าหรือบริการนั้นๆ โดยที่ตัว influencer อาจไม่ได้เอ่ยปากโฆษณาตรงๆ ด้วยซ้ำ
แต่เราจะก้าวไปถึงจุดๆ นั้นได้ยังไง ถ้าเกิดเราเริ่มทุกอย่างจากศูนย์ ลองมาดูกันครับ
-
สร้างจุดเด่น
ทำนองเดียวกับร้านค้าเลยครับ ต่างกันแค่ว่านี่คือตัวบุคคล หากไม่ได้เป็นเซเลปหรือคนที่ดังมาแล้วตั้งแต่ต้น คุณควรมีจุดเด่นในตัวเองว่าตัวเองมีความเชี่ยวชาญด้านใด เนื้อหามีลักษณะแบบไหน ตัวอย่างเช่น สอนการทำอาหาร พาท่องเที่ยว สอนแต่งหน้า เป็นต้น
-
มีคอนเนคชั่น
อิทธิพลในใจผู้คนที่มั่นคงไม่ได้สร้างในวันเดียวครับ เราอาจเริ่มทำความรู้จับกับ Influencer คนอื่นๆ ควบคู่ไปกับการสร้างคอนเทนต์ในเรื่องที่ตัวเองสนใจ ไม่ว่าจะผ่านเว็บไซต์ของตัวเอง Facebook Instagram หรือ Youtube เพื่อทำให้คนรู้จักตัวตนของเรา ในแบบของเรามากขึ้น
-
รู้จักช่องทางโปรโมตตัวเอง
โดยส่วนมากแล้วนอกจาก Facebook หรือ Youtube สถานที่ ที่เหล่า Influencer โดยเฉพาะสายแฟชั่น จะเฉิดฉายมากที่สุดคงเห็นไม่พ้นจะเป็น Instagram ที่เน้นการอัพเดทรูปภาพเป็นหลัก ในบางครั้งแคปชั่นที่เห็นสั้นๆ หรือรูปที่เห็นสวยๆ อาจผ่านการคิดวิเคราะห์มาเป็นชั่วโมงแล้วก็ได้ ว่าทำยังไงถึงจะเวิร์ค
ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เด่นๆของการทำธุรกิจออนไลน์เท่านั้นครับ สิ่งสำคัญที่เราควรจำใส่ใจก็คือความซื่อสัตย์ ซื่อตรงกับลูกค้า มีคอนเทนต์ที่มีคุณภาพพอที่จะโปรโมตสินค้าและบริการของตัวเอง ทุกอย่างไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ครับ ขอแค่เราคิด เริ่มทำ มองจุดเด่นจุดด้อย และปรับปรุงตัวเองไปเรื่อยๆ ซักวันหนึ่งมันต้องประสบผลสำเร็จอย่างแน่นอน
และหากใครสนใจจะทำธุรกิจออนไลน์ หรือทำธุรกิจแล้วและกำลังขยายกิจการ แต่ยังติดขัดเรื่องการเงินบางประการอยู่บ้าง สามารถปรึกษาเราได้ที่เงินติดล้อทุกสาขา หรือเบอร์ 088-088-0880 ตลอด 24 ชั่วโมงครับ
Tags :
เริ่มธุรกิจ, ทําธุรกิจอะไรดี, ทำธุรกิจ, ธุรกิจออนไลน์
265
266
267
108